19 มกราคม 2556

สหกรณ์ปลาสลิดแปดริ้ว เตรียมแปรรูปสินค้าพร้อมชิมเสริมจุดแข็งก่อนก้าวเข้าสู่ AEC




ฉะเชิงเทรา - สหกรณ์ผู้เลี้ยงปลาสลิดแปดริ้ว เตรียมแปรรูปสินค้าพร้อมชิมสร้างเป็นจุดขาย เสริมความแข็งแกร่งด้านการแข่งขัน ก่อนก้าวเข้าสู่เวทีการค้าเสรีในประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน (AEC) ควบคู่กับการอนุรักษ์อาชีพพื้นถิ่นดั้งเดิมก่อนสูญสลาย
       วันที่ 16 ม.ค.56 ผู้สื่อข่าวรายงานถึงการเตรียมความพร้อมต่อการเข้าร่วมเป็นประชาคมเศรษฐกิจอาเซียนของภาคเกษตรกรรมเพื่อความอยู่รอดของอาชีพประจำถิ่นดั้งเดิมในพื้นที่ จ.ฉะเชิงเทรา ว่า นายอาทร ผดุงเจริญ อายุ 53 ปี ที่ปรึกษาสหกรณ์ผู้เลี้ยงปลาสลิด และสัตว์น้ำฉะเชิงเทรา (จำกัด) ตั้งอยู่เลขที่ 99/5 ม.4 ต.ท่าข้าม อ.บางปะกง จ.ฉะเชิงเทรา ได้เปิดเผยถึงการเตรียมความพร้อม และพัฒนาอาชีพด้านประมงน้ำจืด ของชาว อ.บางปะกง เพื่อก้าวเข้าสู่เวทีประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน (AEC) หวังเสริมเป็นจุดแข็งทางด้านการแข่งขันของสินค้าภาคเกษตร และเป็นช่องทางออกของอาชีพประมงน้ำจืดที่กำลังจะสูญสลายไป ให้คงอยู่เป็นเอกลักษณ์ประจำถิ่นต่อไป
       นายอาทร กล่าวว่า เดิมทีอาชีพเพาะเลี้ยงปลาสลิดซึ่งเป็นปลาน้ำจืดประจำถิ่นนั้นเป็นอาชีพหลักของชาวคลองด่าน อ.บางบ่อ จ.สมุทรปราการ แต่มีเกษตรกรชาว อ.บางปะกง จ.ฉะเชิงเทรา ส่วนหนึ่งนั้นยึดเป็นอาชีพหลักร่วมกับชาวคลองด่านด้วย เนื่องจากเป็นพื้นที่ระหว่างรอยต่อของจังหวัดที่คาบเกี่ยวกันจนมาถึงในปัจจุบันนี้ เกษตรกรในเขตพื้นที่ อ.บางบ่อ ได้มีจำนวนลดน้อยลงมากจนเหลือพื้นที่การผลิตเพียงประมาณ 400-500 ไร่ เนื่องจากประสบปัญหาด้านการเพาะเลี้ยง ทั้งน้ำเค็มรุกเข้าพื้นที่น้ำจืดในระบบชลประทานแห้งขอดหายไปอย่างรวดเร็ว รวมทั้งน้ำเสียจากภาคอุตสาหกรรม และด้านตลาดการจำหน่ายสินค้าจึงทำให้ยังคงเหลือเกษตรกรที่ประกอบอาชีพนี้อยู่เพียงไม่เกิน 50 ราย
       ขณะที่ในเขตพื้นที่ อ.บางปะกง นั้นได้เกิดความตื่นตัวในด้านการอนุรักษ์อาชีพพื้นถิ่นขึ้นมาก่อนด้วยการตั้งเป็นสหกรณ์ผู้เลี้ยงปลาสลิด และสัตว์น้ำฉะเชิงเทรา โดยตั้งขึ้นมาตั้งแต่เมื่อ วันที่ 22 พ.ย.2552 หลังจากพบว่า เกษตรกรได้เริ่มละทิ้งอาชีพดั้งเดิม และหันไปประกอบอาชีพใหม่แทน จึงทำให้ในขณะนี้ยังคงมีผู้ประกอบอาชีพเพาะเลี้ยงปลาสลิดอยู่ในพื้นที่ประมาณกว่า 1 พันราย และได้เข้าร่วมเป็นสมาชิกของสหกรณ์แล้วกว่า 300 ราย บนเนื้อที่เพาะเลี้ยงกว่า 3 หมื่นไร่ เพื่อร่วมกันหาทางรอดต่ออาชีพประจำถิ่นดั้งเดิมที่กำลังจะสูญสลายไปด้วยการแปรรูปสินค้าจากเดิมที่เกษตรกรเคยขายปลาสลิดที่ตักขึ้นมาจากปากบ่อในราคา กก.ละ 45-50 บาท หรือทำปลาสลิดตากแห้ง แล้วขายได้ในราคา กก.ละ 70 บาท
              นายอาทร กล่าวต่อว่า ขณะนี้มีการแปรรูปให้เป็นสินค้าพร้อมชิม หรือสินค้าปรุงสุกแล้วพร้อมเสิร์ฟบริโภคได้ในทันที จึงทำให้มีมูลค่าเพิ่มสูงขึ้นเฉลี่ย กก.ละ 350 บาท หรือหากส่งเข้าไปขายยังในตลาด กทม.จะขายได้ถึง กก.ละ 550-600 บาท ซึ่งผลิตภัณฑ์ที่ทางสหกรณ์พร้อมกลุ่มชาวบ้านร่วมกันแปรรูปขึ้นมานั้น
       ประกอบด้วย ปลาสลิดทอดกรอบ ปลาสลิดแดดเดียว ไส้กรอกปลาสลิด น้ำพริกปลาสลิด ปลาสลิดอบสมุนไพร และผลิตภัณฑ์ที่กำลังอยู่ในระหว่างการพัฒนา คือ การแปรรูปเป็นขนมขบเคี้ยว โดยจะมีการพัฒนาด้านการบรรจุภัณฑ์ให้มีแบรนด์ตราสินค้า และสร้างมาตรฐานของผลิตภัณฑ์ที่สามารถตรวจสอบย้อนหลังกลับมาจนถึงฟาร์มผู้ผลิต หรือบ่อเพาะเลี้ยงได้ โดยใช้ระบบ RFID ด้วยการมีลาเบล และบาร์โค้ดติดอยู่ที่ซองบรรจุผลิตภัณฑ์เพื่อให้เป็นสินค้าที่จะนำออกไปขายสู่นานาชาติได้ เพื่อเป็นการสร้างความเข้มแข็งให้แก่เกษตรกรก่อนที่ประเทศของเราจะก้าวเข้าสู่เวทีประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน หรือเออีซี ที่กำลังจะมีขึ้นในอีกระยะ 2 ปีข้างหน้า
       การพัฒนาระบบฟาร์มให้เป็นมาตรฐานแบบ “GAP” หรือการปฏิบัติด้านการเพาะเลี้ยงให้ถูกสุขลักษณะ และมาตรฐานการผลิตเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำ และมีการควบคุมการแปรรูปให้ได้มาตรฐาน “GMP” หรือมีอาคารการผลิตที่มีมาตรฐานที่ถูกต้องตามมาตรฐานในกระบวนการผลิต ซึ่งถือเป็นเงื่อนไขสำคัญทางด้านการส่งออกผลิตภัณฑ์ และถือเป็นกำแพงกีดกันด้านการผลิตสินค้าส่งออกจำพวกอาหารของภาคเกษตรที่ผลิตโดยฝีมือชาวบ้านมานับตั้งแต่ในสมัยอดีต
       ปัจจุบันนี้ สหกรณ์ผู้เลี้ยงปลาสลิด และสัตว์น้ำฉะเชิงเทรานั้น ได้ผลิตสินค้าตามออเดอร์ หรือตามคำสั่งซื้อที่อาจจะยังไม่แพร่หลายกระจายออกไปไกลมากนัก ซึ่งต่อไปเราจะมีการพัฒนาทางด้านการทำตลาด ด้วยการผลิตเป็นสินค้าคีออสก์นำออกไปตั้งบูทวางจำหน่ายสินค้าตามแหล่งท่องเที่ยวที่สำคัญของจังหวัด เช่น วัดโสธร วัดสมาน ฯลฯ รวมทั้งตามห้างสรรพสินค้า ซึ่งจะมีเกิดขึ้นได้ในอนาคตหลังจากได้รับการตอบรับในตัวสินค้าจากทางห้างสรรพสินค้าบางแห่ง (แม็คโคร) กลับมาแล้ว
       นายอาทร กล่าวว่า สำหรับปัญหาที่เป็นอุปสรรคอย่างหนึ่งในกระบวนการผลิตและแปรรูปสินค้าเพื่อให้เกิดความต่อเนื่องนั่นคือ ผลผลิตของเกษตรกรที่ในหนึ่งปีนั้นเกษตรกรจะสามารถจับปลาขึ้นมาขายได้เพียงช่วงระยะเวลาแค่เพียง 4 เดือน คือ ช่วงระหว่างปลายเดือน พ.ย.ถึงต้นเดือน มี.ค.เท่านั้น เนื่องจากปลาสลิดนั้นจะต้องใช้ระยะเวลาในการเพาะเลี้ยงยาวนาน ระหว่าง 8-10 เดือน หรือเลี้ยงได้เพียงปีละ 1 ครั้งเท่านั้น จึงจะได้ผลผลิตที่ได้ขนาด
       ซึ่งปัญหา และอุปสรรคนี้เรากำลังอยู่ระหว่างการหาทางที่จะพัฒนาให้เกษตรกรใช้ระยะเวลาในการเพาะเลี้ยงสั้นลงให้เหลือเพียงแค่ 6 เดือน หรือสามารถเพาะเลี้ยงได้ปีละ 2 ครั้งต่อ 1 บ่อ แต่ในขณะนี้ เรายังสามารถที่จะแก้ไขปัญหาเฉพาะหน้าไปก่อนได้ ด้วยการนำปลาสลิดสดเข้าไปเก็บแช่แข็งไว้ในห้องเย็น
โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์     

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น